ยางรถยนต์ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด

คุณอาจคิดว่า ยางรถก็คือยางสีดำธรรมดา ๆ ที่อยู่รอบล้อของคุณ ซึ่งมีบทบาทสำคัญเพียงเพื่อรองรับน้ำหนักรถยนต์ และทำให้รถสามารถเคลื่อนที่ไปตามท้องถนนได้ หรืออาจจะคิดว่า ยางทั้งหมดมีลักษณะเหมือนกัน โดยยางที่ออกมาเป็นรุ่น ๆ เป็นเพียงแค่กลยุทธ์ในการทำตลาดของเหล่าบริษัทยางรถยนต์เท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ยางรถยนต์มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่และยานพาหนะที่แตกต่างกัน เราจะแสดงให้คุณเห็นถึงความแตกต่างของยางแต่ละประเภทว่า เพื่อให้คุณเห็นว่ายางรถยนต์ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมดจริง ๆ

ยางสปอร์ตสมรรถนะสูงอย่าง กลุ่ม POTENZA ของเราเหมาะสำหรับกลุ่มรถสปอร์ต มอบการตอบสนองที่รวดเร็ว และการยึดเกาะที่เหนือกว่ายางชนิดอื่น ๆ ซึ่งได้รับการออกแบบมาสำหรับผู้ที่หลงใหลในการขับขี่ยานพาหนะ ขับขี่สนุกและบังคับรถได้อย่างใจต้องการ
รู้หรือไม่ ยางสปอร์ตสมรรถนะสูงจะมีวางจำหน่ายสำหรับล้อยางที่มีไซส์แก้มเตี้ยเท่านั้น เพราะรถประเภทนี้จะสร้างเสียงรบกวนเมื่อขับขี่ เนื่องจากยางเกิดการสัมผัสกับพื้นผิวถนนมากกว่ายางทั่วไป อาจจะขับไม่สบายเท่าไหร่นัก ถ้าเทียบกับยางรถที่ให้สัมผัสแห่งความนุ่มเงียบอย่าง TURANZA

ยางนุ่ม เงียบ กลุ่ม TURANZA มอบการขับขี่ที่นุ่มนวล สบายและเงียบทั้งในสภาพพื้นถนนที่เปียกและแห้ง ถูกออกแบบมาเพื่อการขับขี่รถยนต์ทั่วไปในชีวิตประจำวันของคุณและครอบครัว ที่เห็นความสำคัญของการขับขี่ที่สะดวกสบาย และไม่มีเสียงรบกวน
รู้หรือไม่ ยางนุ่ม เงียบ หรือยางขอบ15นุ่มเงียบ มีให้เลือกหลากหลายไซส์ เนื่องจากแก้มยางขนาดใหญ่จะช่วยรองรับแรงกระแทกจากพื้นถนนที่ไม่เรียบเสมอกันได้ดี ส่วนประกอบที่นุ่มขึ้นของยางทัวริ่งจะช่วยเพิ่มความนุ่มสบายขณะที่เดินทาง

สำหรับกลุ่มยาง ECOPIA หรือยางประหยัดน้ำมันจะช่วยดึงประสิทธิภาพการขับขี่ให้ได้ระยะทางสูงสุดต่อน้ำมัน 1 ลิตร และประหยัดน้ำมันได้สูงสุด แต่ในขณะขับขี่ก็มอบความสะดวกสบายให้ด้วยเช่นกัน ยางชนิดนี้ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ที่รักสิ่งแวดล้อมและต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยลดการสิ้นเปลืองของน้ำมันเชื้อเพลิง และลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์
รู้หรือไม่ แรงต้านของการหมุนยาง มีผลต่อการใช้พลังงานเพื่อการหมุนล้อด้วย ยางจำพวกประหยัดน้ำมันจะช่วยลดปริมาณน้ำมันที่ต้องใช้ในการขับเคลื่อนรถไปข้างหน้า จึงทำให้ใช้น้ำมันถังหนึ่งได้นานยิ่งขึ้น แถมประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย

ยาง SUV หรือยางออฟโรดจำพวกกลุ่ม ALENZA และ DUELER หรือแม้แต่ยาง DURAVIS มีสมรรถนะและความทนทานในภูมิประเทศที่หลากหลาย ซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับผู้ที่ขับขี่รถบรรทุก รถ CUV และ SUV ที่ต้องการความเพลิดเพลินในการขับขี่และความสะดวกสบายทั้งบนถนนหลวง ถนนในเมือง และทางถนนทุรกันดาร
รู้หรือไม่ ยาง SUV หรือยางออฟโรดมีหลายระดับด้วยกัน โดยขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ขับขี่ ซึ่งมีตั้งแต่แบบยางสำหรับขับไปตามทางลาดชันที่ต้องให้ความสำคัญกับการควบคุม เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่บนพื้นถนนยางมะตอย เช่น ยาง Firestone ไปจนถึงยางที่รองรับการขับขี่ที่ดุดัน ซึ่งมีบล็อกดอกยางขนาดใหญ่เพื่อตะลุยกรวดและพื้นโคลน
รูปแบบดอกยางมีหลายแบบ

ดอกยางแบบสมมาตร เป็นรูปแบบและเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ใช้กับยางรถยนต์ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ซึ่งก็เป็นไปตามชื่อของมัน เพราะหน้ายางครึ่งซ้ายกับครึ่งขวาของยางสมมาตรนั้นมีลายดอกยางรูปแบบเดียวกัน ทำให้สามารถใส่ยางได้ทุกทิศทางไม่ว่าจะเป็นล้อตำแหน่งไหน
ยางชนิดนี้เหมาะสำหรับยานพาหนะขนาดเล็กถึงขนาดกลาง และรถบรรทุกส่งของที่ขับขี่บนทางถนนปกติ
ดอกยางแบบอสมมาตร ให้ประสิทธิภาพการขับขี่ที่หลากหลาย และเหนือกว่าด้วยการผสมผสานประโยชน์ของดอกยางที่แตกต่างกัน ตามชื่อของยางชนิดนี้ก็จะมีรูปแบบดอกยางที่แตกต่างกันในแต่ละด้าน ซึ่งจะต้องใส่ยางอย่างถูกต้องโดยหันด้านยางที่มีคำว่า outside ออกด้านนอก
ยางชนิดนี้เหมาะสำหรับยานพาหนะโดยสารทุกประเภท เนื่องจากมีคุณสมบัติเชิงบวกหลายประการ รวมถึงการยึดเกาะที่เหนือกว่าทั้งในสภาพพื้นถนนที่เปียกและแห้ง
ดอกยางแบบทิศทางเดียว มอบสมรรถนะการควบคุมรถแบบเหนือชั้นกว่าทุกแบบที่กล่าวข้างต้น ตามชื่อของยางชนิดนี้จำเป็นต้องติดตั้งให้ถูกต้องตามทิศทางที่ระบุไว้บนแก้มยาง เป็นยางที่รีดน้ำได้ดีมากที่สุด
ยางชนิดนี้เหมาะสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูงและรถสปอร์ตที่เดินทางด้วยความเร็วสูง โดยยางแบบทิศทางเดียวมักจะมีส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่มากกว่ายางแบบอื่น สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ รูปแบบดอกยาง
ยางที่ต่างกัน ใช้ความเร็วได้ต่างกัน
หากเมื่อเร็ว ๆ นี้คุณได้สังเกตยางรถของคุณว่า มีรหัสอื่น ๆ ที่อยู่ข้างเลขระบุขนาดยาง เช่น 205/45R16 87W แล้วสงสัยว่ามันหมายถึงอะไร ตัวเลขสองหลักและตัวอักษรต่อท้ายนั้นหมายถึงดัชนีการรับน้ำหนักและขีดจำกัดความเร็วสูงสุดของยางรถยนต์ ซึ่งบ่งบอกถึงขีดจำกัดของยางนั่นเอง
อัตราการรับน้ำหนักจะอยู่ในรูปแบบเลขสองหลักในรหัสดังกล่าว (เช่น 87) ซึ่งจะบ่งบอกถึงพิกัดน้ำหนักที่ยางรถสามารถรับได้ในขณะที่มีความดันลมยางสูงสุดของมันเอง โดยทั่วไปอัตราการรับน้ำหนักของยางรถยนต์นั่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระหว่าง 70 ถึง 120
เคล็ดไม่ลับ: เมื่อเปลี่ยนยางชุดใหม่ สิ่งสำคัญที่คุณจะต้องทำคือการตรวจสอบว่ายางใหม่ของคุณมีค่าดัชนีการรับน้ำหนักเทียบเท่าหรือสูงกว่ายางรถยนต์ตัวเดิมของคุณหรือไม่ หากคุณใส่ยางที่มีค่าดัชนีการรับน้ำหนักต่ำกว่าจะทำให้เกิดความเค้นกับตัวยางและโครงสร้างยาง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่รถยนต์ยางแตก ยางบวม และยางจะระเบิดได้

สำหรับขีดจำกัดความเร็วสูงสุดที่ใช้ได้ของยางรถยนต์จะอยู่ในรูปแบบตัวอักษรเดี่ยว ๆ (เช่น W) ซึ่งระบุความเร็วสูงสุดที่ยางรถยนต์ได้รับการรับรองตามกฎหมาย ในการกำหนดพิกัดความเร็วของยางรถยนต์ ทางวิศวกรจะทดสอบโดยเพิ่มความเร็วให้กับยางครั้งละ 10 กม./ชม. ทุก ๆ 10 นาที จนกว่าจะได้ความเร็วที่ต้องการ
เคล็ดไม่ลับ: เมื่อเปลี่ยนยางชุดใหม่ สิ่งสำคัญที่คุณจะต้องทำคือการตรวจสอบว่ายางใหม่ของคุณมีขีดจำกัดความเร็วสูงสุดเทียบเท่าหรือสูงกว่าความเร็วสูงสุดของรถหรือไม่ หากขีดจำกัดความเร็วสูงสุดของยางรถยนต์ต่ำกว่า อาจเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้
หากคุณไม่รู้หรือไม่แน่ใจว่า ดัชนีการรับน้ำหนักยางรถยนต์และขีดจำกัดความเร็วสูงสุดที่ผู้ผลิตรถของคุณแนะนำอยู่ที่เท่าไหร่ ให้ดูจากคู่มือรถยนต์ของคุณเองหรือสติกเกอร์บนวงกบประตูรถ และสามารถดูได้จากตารางด้านล่างดังนี้
- Published in tires
วิธีการในการเลือกยางสำหรับรถ SUV และรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ
ยางสำหรับรถ SUV และรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ถูกออกแบบเพื่อเพิ่มสมรรถนะรถยนต์ของคุณให้ตอบสนองกับทุกสภาพพื้นผิวถนน บางรุ่นออกแบบเพื่อประสิทธิภาพด้านแรงกรุยบนทางวิบาก บางรุ่นถูกออกแบบเพื่อการขับขี่ทางเรียบ หรือตอบสนองการขับขี่ทั้งสองรูปแบบ ทั้งการเดินทางแบบตะลุยกลางแจ้ง เพี่อการบรรทุกหนัก หรือเพื่อการขับขี่ที่ราบรื่นอย่างเพลิดเพลินบนถนนไฮเวย์ ผู้ขับขี่ รถ SUV และรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อต่างมีสไตล์ในการขับขี่ที่แตกต่างกันไปและต้องการเลือกใช้ยางที่มีประสิทธิภาพตอบสนองได้ดี

มีหลากหลายทางเลือกเมื่อพูดถึงยางสำหรับรถ SUV และรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ และเมื่อตัดสินใจเลือกยางรถยนต์ที่ใช่ คุณควรคำนึงถึงประสิทธิภาพการทำงานที่คุณให้ความสำคัญซึ่งมาพร้อมกับประสบการณ์การขับขี่ของคุณ
ยางสำหรับรถ SUV และรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือเรียกอีกอย่างว่า ยางออฟโรด มี 3 ประเภท
- ยางสำหรับใช้งานสภาพถนนทั่วไป
- ยางสำหรับใช้งานทุกสภาพผิวถนน
- ยางสำหรับใช้งานทางวิบาก หรือดินโคลน
ยางสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ

ยางสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ สำหรับใช้งานสภาพถนนทั่วไป ได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขณะวิ่งบนบนถนนแบบไฮเวย์ อายุการใช้ยาวนาน เสียงรบกวนน้อย และมีความนุ่มสบายในการขับขี่ ยาง A/T ส่วนใหญ่ ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับทุกสภาพผิวถนน ทั้งถนนแห้ง ถนนเปียก รวมทั้งสภาพภูมิอากาศหนาว ให้ความคุ้มค่า ลดการใช้พลังงานได้เต็มประสิทธิภาพกว่ากลุ่มยาง M/T ยางสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อเหล่านี้ได้ถูกออกแบบ สำหรับรถยนต์อเนกประสงค์ รถกึ่งตรวจการณ์อเนกประสงค์ รถกระบะ และรถตู้ขนาดใหญ่ หากรูปแบบการขับขี่เป็นการขับขี่บนพื้นกรวดทราย ในทุ่งหญ้า และผจญภัยแบบออฟโรด ยางสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ สำหรับใช้งานสภาพถนนทั่วไปจึงเหมาะกับความต้องการในการขับขี่ของคุณ
ยางสำหรับใช้งานทุกสภาพผิวถนน

หากต้องการยางสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อที่ให้ประสิทธิภาพทั้งทางเรียบและถนนขุรขระ ยาง Dueler A/T 697 สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีบนทุกสภาพถนน ยางถูกออกแบบเพื่อตอบสนองการขับขี่ที่นุ่มสบาย ทั้งถนนขุขระและยังรองรับการบรรทุกหนักอีกด้วย การออกแบบพัฒนาลายดอกยางที่สมดุลย์ยังช่วยให้เกิดความนุ่มสบายในการขับขี่ ยางแบบ All terrain มีคุณลักษณะพิเศษด้วยการออกแบบบล๊อคดอกยางขนาดใหญ่ และมีความลึกร่องดอกยางใหญ่กว่ายางสำหรับใช้งานสภาพถนนทั่วไป – แบบไฮเวย์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ ดอกยางถูกพัฒนาด้วยสูตรเนื้อยางพิเศษช่วยป้องกันการสึกหรอ การฉีกขาดจากสภาพถนนที่ขรุขระ และการลากจูง ขณะที่ยังคงให้การสึกหรอบนถนนแบบปกติ และคงไว้ซึ่งคุณลักษณะพิเศษอย่างที่ผู้ขับขี่รถยนต์อเนกประสงค์ต้องการ
ยางสำหรับใช้งานทางวิบาก หรือดินโคลน
หากคุณอยู่ในภูมิประเทศแบบถนนที่เป็นดินโคลนหรือแม้กระทั่งหิน ขรุขระ ยางที่ตอบโจทย์คือกลุ่มยางแบบ M/T (บางครั้งเรียกว่ายางสำหรับทางวิบากหรือดินโคลน) ยางสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อเหล่านี้มักมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีลักษณะบล๊อคดอกยางขนาดใหญ่ สามารถยึดหรือเพิ่มแรงกรุยบนพื้นผิวถนนดินโคลน อีกทั้งให้แรงลากสูงบนภูมิประเทศที่มีคุณลักษณะพิเศษ โดยยางจจะช่วยผลักดันรถผ่านทางดินโคลนและหินที่ลื่น สำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการปรับแต่งรถให้ดู แกร่งกล้า ดุดัน หรือต้องการประสิทธิภาพการขับขี่บนพื้นผิวที่ขรุขระ และมีแรงกรุยสูงสุด ยางแบบ M/T เป็นทางเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับคุณ
ยางสำหรับรถ SUV และรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบไหนที่เหมาะกับคุณ
สิ่งสำคัญคือต้องเลือกยางสำหรับรถ SUV และรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามความต้องการในการขับขี่และรถยนต์ของคุณ ไม่ว่าคุณกำลังมองหายางที่ทนทาน ตอบสนองในทุกสภาพถนน หรือให้ความสะดวกสบายในการขับขี่ สำหรับการเดินทางประจำวันของคุณ
ยางบริดจสโตนสำหรับรถ SUV และรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้รับการออกแบบมาเพื่อการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ
- Published in tires
ข้อเสียของการเพิ่มขนาดล้อยางรถยนต์
สำหรับผู้ซื้อรถยนต์ส่วนใหญ่แล้ว ขอบล้อและล้อรถยนต์คือสิ่งแรกที่คนรักรถจะอัปเกรดกันเป็นอย่างแรก เพราะสะดวกต่อการเปลี่ยน และเพิ่มความสวยงามให้กับรถยนต์ภายนอกได้อย่างง่ายดาย แต่ในทางกลับกันมีคนจำนวนหนึ่งที่เชื่อว่าการเปลี่ยนไปใช้ล้อขนาดอื่นที่ผู้ผลิตไม่ได้ออกแบบไว้ จะเกิดผลเสียได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงโดยมีเหตุผลต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเปลี่ยนยางใหญ่ขึ้น
ตัวเลขที่อยู่บนแก้มยางของคุณไม่ได้มีไว้เพื่อประดับยางรถเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ข้อมูลเป็นตัวเลขที่สำคัญ และมีผลกับส่วนประกอบของรถชิ้นอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้การเพิ่มเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อใหญ่จึงส่งผลให้ยางของล้อกว้างขึ้นตามไปด้วย
ยกตัวอย่างรถที่ติดตั้งยาง 195/65R15 หรือยางรถขอบ 15 นิ้ว ซึ่งเป็นอุปกรณ์เดิมที่ติดมากับรถยนต์อยู่แล้ว หากเจ้าของเลือกเปลี่ยนขนาดล้อรถยนต์เป็นขนาดยางรถขอบ 17 นิ้ว เพื่อให้รถดูดีมีสไตล์มากขึ้น คุณควรจะเลือกใช้ยาง 225/45R17 เพื่อให้พอดีกับเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อใหญ่ ครอบคลุมขอบล้อและยางรถ ซึ่งจะเห็นความกว้างที่เพิ่มขึ้นถึง 30 มิลลิเมตร สามารถศึกษาเรื่องตัวเลขบนยางรถยนต์เพิ่มเติมได้ที่ วิธีอ่านรหัสตัวเลขบนยางรถยนต์

ผู้ผลิตยางรถยนต์ได้ให้คำตอบว่า เราควรจะยึดขนาดยางรถตามขนาดเดิมที่ทางบริษัทรถยนต์กำหนดมาให้จะดีที่สุด อย่างไรก็ตามหากคุณยืนยันที่จะเปลี่ยนยางใหญ่ขึ้นจริง ๆ เส้นผ่านศูนย์กลางล้อใหญ่โดยรวมไม่ควรเกิน 103% ของเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อเดิม (ก็คือ เพิ่มขึ้นไม่เกิน 3% นั่นเอง)
หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับวิธีการคำนวณเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อรถ ลองใช้เครื่องคิดเลขบนเว็บไซต์อย่าง Wheel-Size.com ที่ให้ผลลัพธ์การคำนวณที่ค่อนข้างแม่นยำได้แบบง่าย ๆ เพียงปลายนิ้ว

รถยนต์แต่ละคันมีขนาดล้อรถที่จำกัด เนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ขนาดล้อเดิม และการวางตำแหน่งอุปกรณ์ของระบบกันสะเทือน หากคุณเปลี่ยนยางใหญ่ขึ้น จากยางรถขอบ 15 นิ้ว เป็นขนาดล้อใหญ่ยางรถขอบ 18 นิ้ว โดยไม่คำนึงปัจจัยอื่น ๆ ที่ตามมา คุณอาจจะพบว่า ยางรถใหม่ของคุณอาจจะเสียดสีกับซุ้มล้อ เมื่อคุณกำลังขับรถขึ้นหลังเต่าหรือกลับรถอยู่ จึงทำให้ยางของคุณสึกหรอก่อนเวลาอันควร
นอกจากนี้การเปลี่ยนล้อรถใหญ่อาจส่งผลให้มาตรวัดอัตราเร็วของคุณแสดงค่าได้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อรถที่ต่างจากล้อเดิม ด้วยกล้องจับความเร็วบนท้องถนนที่เพิ่มขึ้นมากเรื่อย ๆ คุณคงไม่อยากจะโดนใบสั่งจากกล้องเหล่านั้นใช่ไหมล่ะ

แก้มยางรถยนต์ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงปัจจัยหลักอยู่ 2 อย่าง ได้แก่ ความสามารถในการดูดซับแรงกระแทกจากพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบเนียนเสมอกัน และความสามารถในการรองรับน้ำหนักของรถ แม้จะอยู่ภายใต้การบรรทุกน้ำหนักที่สูง การลดความหนาของแก้มยางจำเป็นต้องมีการเสริมกำลังเพื่อรักษาความแข็งแรงของรถไว้ ส่งผลให้การขับขี่เมื่อตกหลุมบ่อจะรุนแรง และเกิดการสะเทือนมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกไม่สะดวกสบายเท่านั้น แต่รวมถึงทำให้ส่วนประกอบช่วงล่างของรถสึกหรอมากขึ้นอีกด้วย
หากคุณได้เช็กไมล์รถเป็นประจำ คุณควรทราบด้วยว่า วงล้อที่ใหญ่ขึ้นก็จะทำให้น้ำหนักรถมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน (ยกเว้นคุณจะใช้เงินลงทุนไปกับล้ออัลลอยด์น้ำหนักเบา) น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นบนเพลารถทำให้เครื่องยนต์ของคุณทำงานหนักมากขึ้น ส่งผลให้อัตราเร่งของรถต่ำลง และสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น
การเลือกซื้อยางใหม่ ต่างจากการเดินซื้อของในตลาดสดโดยสิ้นเชิง จริง ๆ แล้วราคายางแก้มเตี้ยสูงกว่าราคายางรถยนต์ทั่วไป ถึงแม้จะดูใช้ยางน้อยในมุมมองของคนทั่วไป แต่รับรองว่า เงินของคุณจะไม่เสียเปล่า เพราะยางแก้มเตี้ยมีราคาที่แพงกว่าจากหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น การเสริมกำลังที่แก้มยางที่จำเป็นสำหรับยางแก้มเตี้ย และหลัก ๆ ก็เพื่อให้เปลี่ยนขนาดล้อรถยนต์เล็กลง ยางแก้มเตี้ยไม่เพียงแต่ต้องใช้ส่วนประกอบต่าง ๆ เพื่อเสริมกำลังให้ล้อเพียงอย่างเดียว เช่นเดียวกับยางแก้มหนา แต่อีกทั้งมีความต้องการในตลาดน้อย จึงทำให้ยางประเภทนี้มีราคาแพงกว่า
ไม่ว่าคุณจะใช้ยางตามขนาดเดิมหรือเลือกใช้ยางที่ใหญ่ขึ้น เราขอแนะนำให้คุณไปที่ หน้าแคตตาล็อกของเราเพื่อค้นหายางที่เหมาะสมกับรถของคุณ
- Published in tires
วิธีการเลือกซื้อยางรถยนต์ และยางรถเก๋ง
ตลอดอายุการใช้งานของรถยนต์หนึ่งคัน จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนยางรถอยู่เสมอ ซึ่งการเปลี่ยนยางนั้นก็ไม่ใช่การลงทุนราคาถูกสักเท่าไหร่เลย สำหรับเจ้าของรถหลายคน ลึก ๆ แล้วอาจจะไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับยางรถมากนัก เพื่อการนี้เราจึงได้รวบรวมคำแนะนำในการซื้อยางรถยนต์ที่ใช้ได้จริง ซึ่งคุณจะได้ศึกษาข้อมูล และนำไปประกอบการตัดสินใจซื้อได้อย่างมั่นใจ
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ถึงเวลาที่ต้องซื้อยางใหม่แล้ว
วิธีที่ดีที่สุดในการดูว่ายางรถยนต์ของเราถึงเวลาเปลี่ยนแล้วหรือไม่ ก็คือการให้ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีตรวจสอบให้ อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายวิธีที่คุณก็สามารถเช็กเองได้เช่นกัน เพื่อให้การขับขี่มีความปลอดภัย ดอกยางควรจะต้องมีความลึกขั้นต่ำอย่างน้อย 1.6 มิลลิเมตร หากความลึกน้อยกว่าความลึกขั้นต่ำ หรือค่าความลึกของดอกยางใกล้จะต่ำกว่า 1.6 มิลลิเมตร แล้ว คุณควรจะเปลี่ยนยางใหม่ในทันที ยางที่ดีควรจะไม่มีแก้มยางที่เสียหายและเกิดการสึกหรอที่ผิดปกติ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพการขับขี่สูงสุด
คุณสามารถตรวจสภาพยางรถยนต์ด้วยตัวเองได้โดยเริ่มจากการเช็กดอกยางเป็นอันดับแรก ดอกยางจะเป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นผิวถนน ซึ่งเราจะต้องเช็กให้แน่ใจว่า ดอกยางมีความลึกเพียงพอ และสึกหรอเท่ากันทั่วทั้งพื้นผิวโดยไม่มีความผิดปกติใด ๆ โดยยางรถทุกเส้นจะมีปุ่มในร่องดอกยางเพื่อใช้วัดความลึกร่องดอกยางที่เรียกว่า “สะพานยาง” ซึ่งจะช่วยให้คุณสังเกตเห็นได้ง่ายขึ้นว่ายางรถยนต์สึกไปมากแค่ไหนแล้ว เราสามารถพบสะพานยางได้ทั่วทั้งดอกยาง และจะเห็นได้ชัดเมื่อยางสึกถึงระดับ 1.6 มิลลิเมตร นอกจากนี้คุณควรจะตรวจสอบว่าแก้มยางแต่ละเส้นมีความเสียหายที่มองเห็นได้ด้วยหรือไม่
ถ้าตรวจตามวิธีการข้างต้นแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ยังไม่จำเป็นต้องซื้อยางใหม่ ทั้งนี้ให้ตรวจเช็กตามกระบวนการข้างต้นอีกครั้งเมื่อขับขี่ไปทุก ๆ 2,000 – 3,000 กิโลเมตร หรือเดือนละครั้ง และถี่กว่านั้นหากคุณใช้งานรถหนักหรือขับรถทางไกล
วิธีเลือกขนาดยางรถยนต์ที่ถูกต้อง
หากสมมุติว่าคุณต้องซื้อยางรถเก๋งใหม่แล้ว คำถามต่อไปก็คือยางรถขนาดใดถึงจะเหมาะสมกับรถของเรา ซึ่งคุณสามารถหาข้อมูลเหล่านี้ได้จากคู่มือประจำรถ ขอบประตูฝั่งคนขับ บริเวณฝาครอบถังน้ำมัน หรือตรงกลางแก้มยางของยางรถยนต์ที่คุณใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่ถ้าหากคุณไม่รู้วิธีการอ่านค่าขนาดของยางรถจากแก้มยาง คุณสามารถอ่านบทความ ที่นี่ เพื่อศึกษาขั้นตอนได้เลย

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ยางแบบไหนเหมาะกับรถของเรา
ขั้นตอนต่อไปคุณจะต้องตัดสินใจว่า การเลือกยางรถยนต์แบบไหนที่จะตอบโจทย์ความต้องการและความชอบในการขับขี่ของคุณโดยเฉพาะ เริ่มจากการประเมินนิสัยในการขับขี่ของคุณเป็นอย่างแรก คุณอาจจะตั้งคำถามกับตัวเอง เช่น คุณติดกับการขับรถในเมืองและบนทางหลวงไหม ใจเรียกร้องที่จะขับรถผจญนอกเมืองหรือไม่ หรือคุณคิดถึงเรื่องประหยัดน้ำมันบ้างหรือเปล่า เป็นต้น
เมื่อคุณรู้แล้วว่าปัจจัยข้อไหนสำคัญและจำเป็นต่อการขับขี่ของคุณเอง คุณก็สามารถจับคู่สไตล์การขับขี่และยางที่เหมาะสมสำหรับคุณได้ดังต่อไปนี้
ยางสปอร์ตสมรรถนะสูง
ยางสมรรถนะสูงหรือ ยางสปอร์ต ถูกพัฒนามาเพื่อผู้ขับขี่ที่ต้องการการควบคุมและการตอบสนองที่ดีทั้งในสภาพถนนเปียกและถนนแห้ง ยางเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีเสถียรภาพความเร็วสูง พร้อมกับประสิทธิภาพการเบรกที่ยอดเยี่ยมบนถนนหรือสนามแข่งรถ
ยางคอมฟอร์ทและยางทัวริ่ง
ยางทัวริ่งหรือยางนุ่ม เงียบ เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่เน้นความเงียบและสบายเป็นพิเศษอย่างรุ่น Turanza t005a ยางตัวนี้ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีลดเสียงรบกวนขณะขับขี่บนถนน มอบประสบการณ์ดี ๆ ขณะอยู่ภายในรถยนต์ เช่น ยาง Dueler ที่ให้ความนุ่มเงียบ และความแกร่ง เหมาะกับรถกระบะที่ต้องการความคล่องตัว
ยางประหยัดน้ำมัน
ยางประหยัดน้ำมันถูกผลิตมาเพื่อประสิทธิภาพลดแรงต้านทานการหมุนของล้อ ทำให้รถสามารถเดินทางได้ไกลขึ้นโดยใช้ปริมาณน้ำมันที่น้อยลง เช่น Ecopia EP300
ต้องเปลี่ยนยางทั้ง 4 เส้นในครั้งเดียวเลยหรือไม่
อีกหนึ่งคำถามสำหรับคนที่กำลังจะซื้อยางนั่นก็คือ เราจะต้องเปลี่ยนยางทั้งหมด 4 เส้นเลยหรือไม่ คำตอบง่าย ๆ เลยคือ ใช่ เนื่องจากยางรถยนต์คือส่วนที่มีผลต่อประสิทธิภาพและการควบคุมรถของคุณ สิ่งสำคัญก็คือต้องให้ยางรถมีความเหมือนกันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากยางเส้นใดเส้นหนึ่งแตกต่างจากเส้นอื่น ๆ ก็เป็นไปได้ที่ยางเส้นนั้นจะตอบสนองได้ไม่เท่ายางเส้นอื่น ๆ ทำให้ยากต่อการควบคุม
ยางของคุณคือส่วนที่สัมผัสกับพื้นผิวถนนโดยตรง ดังนั้นการที่ยางมีพื้นผิวที่สม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ
หากคุณต้องเปลี่ยนยางเพียงหนึ่งหรือสองเส้น ให้คุณเลือกยางที่มีลักษณะใกล้เคียงกับยางที่คุณกำลังใช้อยู่ในปัจจุบันให้มากที่สุดรวมถึงเป็นกลุ่มยางประเภทเดียวกันด้วย และให้ติดตั้งยางใหม่กับล้อหลังเท่านั้น
ยางใหม่กับยางใช้แล้ว อันไหนดีกว่ากัน
แม้ว่ายางมือสองจะมีราคาที่ถูกกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงมากมายตามมาด้วยเช่นกัน หากคุณไม่ทราบประวัติของยางมือสองมาก่อน ก็ยากที่จะรู้ว่า ยางที่ซื้อนั้นผ่านการปะซ่อมมาเนื่องจากโดนเจาะหรือฉีกขาดหรือไม่ ซึ่งมีแนวโน้มที่ยางเหล่านี้จะรั่วหรือระเบิดได้ง่ายกว่า ยางที่ใช้แล้วอาจมีการสึกหรอที่ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งอาจส่งผลต่อการควบคุมและความปลอดภัย แถมยางที่ใช้แล้วอาจจะต้องเปลี่ยนเร็วกว่ายางใหม่มาก
วิธีที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนยางใหม่โดยเลือกยี่ห้อ ขนาดยาง ดัชนีการรับน้ำหนัก และขีดจำกัดความเร็วสูงสุดของยางแบบเดียวกัน
ควรถามอะไรกับตัวแทนจำหน่ายบ้าง
เมื่อคุณรู้ขนาดและประเภทของยางรถที่ต้องการแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างนั่นก็คือการขอคำแนะนำจากตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้มั่นใจว่า คุณได้เลือกยางที่ดีที่สุดสำหรับรถของคุณแล้ว ทั้งนี้คุณอาจจะใช้บริการอื่น ๆ ที่จำเป็นด้วย เช่น การสลับตำแหน่งยางและการตั้งศูนย์ล้อไปพร้อม ๆ กับยางใหม่ของคุณ นอกจากนี้คุณควรสอบถามตัวแทนจำหน่ายเกี่ยวกับใบรับประกัน พร้อมกับมาตรการเปลี่ยนสินค้าของโรงงานผลิตที่ผลิตยาง เพื่อให้แน่ใจว่ายางรถใหม่ที่คุณเพิ่งจะลงทุนไปจะได้รับการคุ้มครองในระยะยาว แล้วก็อย่าลืมถามเกี่ยวกับข้อเสนอพิเศษอื่น ๆ ที่ทางร้านอาจจะมีด้วยล่ะ
จากเกร็ดความรู้ที่เรานำมาเล่าสู่กันฟังนี้ น่าจะช่วยให้คุณสามารถเลือกซื้อยางได้อย่างมั่นใจแล้ว
- Published in tires
สาเหตุของยางกินไหล่ยางด้านใน พร้อมวิธีสังเกตและแก้ไข
ยางกินในมีสาเหตุมาจากช่วงล่างรถยนต์ ปัญหายางกินใน ส่วนมากมีสาเหตุมาจากช่วงล่างรถยนต์ ซึ่งหากไม่รีบแก้ไขสิ่งที่จะเสียหายต่อมาก็คือยางรถยนต์ทำให้หน้ายางรถยนต์มีการสึกไม่เท่ากัน
ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เกิดปัญหายางกินใน
1. การปรับแต่งศูนย์ล้อ
การตั้งศูนย์ล้อหรือมุมล้อ หมายถึง การปรับองศาของพวงมาลัยรถและอุปกรณ์ช่วงล่างที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของรถ ซึ่งไม่ใช่การปรับแต่งที่ล้อยางหรือกระทะล้อ การตั้งศูนย์ล้อไม่เหมาะสมจะทำให้ยางเสื่อมสภาพและสึกหรอผิดปกติ รวมทั้งทำให้เกิดยางกินใน จึงต้องให้ความสำคัญกับการตั้งศูนย์ล้อ ด้วยการให้ช่างมืออาชีพดูแลและปรับแต่งให้ตรงตามมาตรฐานของรถ
2. สไตล์การขับขี่
จริงอยู่ว่าการขับขี่โดยปกติก็ทำให้ยางรถค่อย ๆ เสื่อมสภาพอยู่แล้ว แต่สไตล์การขับขี่จะมีผลให้เกิดการสึกหรอและยางกินในเพิ่มขึ้น ซึ่งการขับขี่สไตล์ผาดโผน ชอบดริฟท์รถเมื่อเข้าโค้ง หรือชอบสาดโค้งแรงๆ ก็อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหายางกินในได้

ยางกินในเกิดจากการปรับแต่งศูนย์ล้อไม่เหมาะสมและสไตล์การขับขี่
มุมล้อทั้งสาม ปรับให้ดี ไม่มีปัญหายางกินใน
การตั้งศูนย์ล้อมีองค์ประกอบสำคัญคือมุมทั้ง 3 แบบ ได้แก่
·
มุมแคมเบอร์
คือ มุมเอียงของล้อตามแนวดิ่ง ที่ช่วยให้รถยึดเกาะถนนเมื่อเข้าโค้ง วิธีสังเกตมุมแคมเบอร์คือให้มองจากหน้ารถ หากแนวดิ่งของล้อขนานกัน แสดงว่ามุมแคมเบอร์มีค่าเป็น 0 ถ้าด้านล่างหุบเข้าด้านบนถ่างออกจะมีค่าเป็น + แต่หากด้านล่างถ่างออกด้านบนหุบเข้าจะมีค่าเป็น – สำหรับการใช้งานทั่วไปจะตั้งค่าให้ติดลบเล็กน้อยเพื่อช่วยให้เข้าโค้งได้ดี แต่หากมากเกินไปจะทำให้เกิดปัญหายางกินในและควบคุมรถทางตรงลำบาก โดยส่วนใหญ่รถยนต์นั่งมักจะมีมุมแคมเบอร์เป็นลบเล็กน้อยอยู่แล้ว

มุมโท
มุมที่ทำให้รถวิ่งได้ตรงและนิ่ง สังเกตได้ง่ายๆ หากล้อขนานกับตัวรถจะมีค่าเป็น 0 ถ้าล้อด้านหน้าหุบเข้าเรียกว่า Toe-In มีค่าเป็นลบ แต่ถ้าถ่างออกเรียกว่า Toe-Out มีค่าเป็นบวก สำหรับการขับขี่จะตั้งค่ามุมโทให้เป็น Toe-in เล็กน้อย ให้ล้อหน้าจิกถนนและวิ่งได้ตรง
มุมแคสเตอร์
เป็นมุมในการวางตำแหน่งล้อ ช่วยควบคุมพวงมาลัยให้เข้าโค้งได้อย่างสมดุล หากมองจากด้านข้างของรถถ้ามุมแคสเตอร์เป็นบวกจะทำให้แกนพวงมาลัยเอียงไปทางคนขับ แต่ถ้าเป็นลบ แกนพวงมาลัยจะเอนเอียงไปทางด้านหน้ารถ แต่ปกติแล้วมุม Caster จะปรับไม่ได้

จะเห็นได้ว่ามุมทั้ง 3 มีความสำคัญต่อการขับขี่ หากตั้งค่าไม่ดีก็อาจเกิดปัญหายางกินในขึ้นได้ แถมยังทำให้ยางรถเกิดการสึกหรอในลักษณะต่างๆ ที่ส่งผลต่อการควบคุมรถ อาทิ
·
การสึกที่ไหล่ยางด้านเดียว
เรียกอีกอย่างว่า การสึกแบบแคมเบอร์ เกิดจากการตั้งมุมแคมเบอร์ที่บวกหรือลบมากเกินไป ทำให้ยางด้านในด้านหนึ่งสึกเร็วหรือยางกินในกว่าอีกด้านอย่างชัดเจน
การสึกแบบฟันเลื่อย
มักเกิดจากมุมโทที่บวกหรือลบมากเกินไป พบได้ทั่วไปบริเวณไหล่ยาง เมื่อลองลูบหน้ายางจะรู้สึกสะดุดมือคล้ายฟันเลื่อย
การสึกแบบขนนก
เกิดจากความผิดปกติของศูนย์ล้อหลายแบบพร้อมกัน เช่น มุมโทและมุมแคสเตอร์ที่มากเกินไป ลักษณะคือยางด้านหนึ่งจะสึกน้อยกว่าอีกด้านหนึ่ง ฝั่งหนึ่งจะเป็นแนวเรียบโค้ง ส่วนอีกฝั่งจะสึกเป็นรอยหยักมากกว่า คล้ายรูปร่างของขนนก
สำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดยางกินในทำได้ไม่ยาก เริ่มจากการหมั่นสลับยางเป็นประจำเพื่อให้ยางทุกเส้นสึกหรอเท่า ๆ กัน โดยแนะนำให้ทำทุก 10,000 กิโลเมตร รวมถึงหมั่นตั้งศูนย์ถ่วงล้อใหม่เป็นประจำทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร เพื่อปรับแต่งกลไกการบังคับรถให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องอยู่เสมอ ช่วยให้พวงมาลัยบังคับง่าย มีความสมดุลของล้อ ลดปัญหายางกินในและความเสียหายที่เกิดกับยางและช่วงล่างของรถ
เทคนิคการดูแลรถบางเรื่องอาจดูไกลตัวผู้ขับขี่ แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหาย เพราะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถประเมินความผิดปกติของรถ คาดการณ์ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และแก้ปัญหาได้ทันท่วงที มากไปกว่านั้น ยังทำให้ผู้ขับขี่ตระหนักเกี่ยวกับความปลอดภัย ช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อีกทางหนึ่งได้
- Published in tires
ขับรถอย่างชาญฉลาดช่วยประหยัดน้ำมันต้องทำอย่างไร
เราไม่สามารถควบคุมราคาน้ำมันเองได้ แต่มีวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงและลดการใช้น้ำมันได้คุ้มค่ายิ่งขึ้น เคล็ดลับเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มระยะทางวิ่งต่อการเติมน้ำมัน พร้อม ๆ กับเพิ่มเงินในกระเป๋าให้มากขึ้นด้วย

วิธีประหยัดน้ำมันต้องทำอย่างไร
- หมั่นตรวจเช็คสภาพรถอย่างสม่ำเสมอ
- หมั่นตรวจสอบแรงดันลมยาง
- ตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ
- ขับให้ช้าลง
- ลดการเบรกถี่ ๆ
- ลดการสิ้นเปลืองจากการเปิดแอร์
วิธีประหยัดน้ำมันด้วยการดูแลรถของคุณ
ดูแลรถยนต์เป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่พลาดวิธีประหยัดประหยัดน้ำมัน ปัญหาเกี่ยวกับรถยนต์บางประการอาจทำให้เปลืองน้ำมันขึ้น อย่าลืมดูแลจุดนี้ด้วย เช่น หากออกซิเจนเซนเซอร์เสียให้เปลี่ยนใหม่ จะสามารถไปได้ไกลกว่าเดิม 40%
การตรวจเช็คลมยางสม่ำเสมอจะช่วยเรื่องวิธีประหยัดน้ำมันและลดค่าใช้จ่ายมากขึ้น ระยะทางที่วิ่งได้จะลดลง 0.3% ต่อความดันลงยางที่น้อยกว่าปกติ 1 PSI ควรตรวจสอบยางเป็นประจำทุกเดือน (รวมทั้งยางอะไหล่สำรองของคุณ) ว่าความดันลมยางเป็นไปตามคำแนะนำของผู้ผลิตรถยนต์ที่ระบุไว้ในคู่มือประจำรถ อย่าลืมตรวจสอบความดันลมยาง ในขณะที่ยางมีอุณหภูมิเย็น ซึ่งหมายความว่ารถยนต์ต้องจอดแล้วอย่างน้อย 3 ชั่วโมง หรือขับไม่ไกลเกิน 2 กิโลเมตรที่ความเร็วปานกลาง
สลับยางอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดการสึกหรอที่ผิดปกติและยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์ การสลับยางที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มการขับรถให้ประหยัดน้ำมันขึ้น 10% ซึ่งหมายความว่าเราสามารถประหยัดเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น
ขับรถอย่างชาญฉลาดช่วยประหยัดน้ำมัน
ขับให้ช้าลง! อย่าลืมว่า รถยนต์แต่ละคันมีอัตราการขับรถให้ประหยัดน้ำมันที่ดีที่สุดในช่วงความเร็วที่แตกต่างกันโดยปกติแล้วอเริ่มลดลงอย่างรวดเร็วที่ความเร็ว 80 กม. / ชม.
ลดการเบรกถี่ ๆ ทุกครั้งที่เราเหยียบเบรก เราจะสูญเสียอัตราเร่งที่เรามีก่อนหน้านี้ เราสามารถคาดการณ์หากต้องการหยุด และชะลอความเร็วก่อนที่จะจอดสนิท โดยการใช้ประโยชน์จากแรงผลักดันแบบโมเมนตัมของรถยนต์ให้มากที่สุด
ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยหลายอย่างจะส่งผลต่อการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงในขณะที่มีอากาศร้อน แต่การเปิดแอร์ในรถยนต์และเปิดหน้าต่างพร้อมกัน ในขณะรถยังวิ่งเร็ว ก็เป็นสองปัจจัยหลักที่สิ้นเปลืองน้ำมัน เพื่อช่วยให้ลดการใช้น้ำมัน (และยังทำให้ผู้โดยสารสะดวกสบายอยู่!) เราขอแนะนำให้ขับด้วยความเร็วต่ำพร้อมกับเปิดหน้าต่าง และเปิดใช้เครื่องปรับอากาศ หากเดินทางด้วยความเร็วสูง
วิธีประหยัดน้ำมันโดยขับไกลยิ่งขึ้นด้วย ECOPIA
การซื้อยางที่มีประสิทธิภาพในการขับรถให้ประหยัดน้ำมัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้วิธีประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมีผลดียิ่งขึ้น การออกแบบเป็นพิเศษเพื่อช่วยลดความต้านทานต่อการหมุนต่ำ ช่วยลดพลังงานที่สูญเสียไปโดยเพิ่มระยะทางได้ถึง 11 กม. ต่อน้ำมันหนึ่งถัง การต้านทานต่อการหมุนของยางต่ำจะทำให้รถวิ่งไปได้ไกลกว่ายางธรรมดาที่มีปริมาณพลังงานเท่ากัน ค้นหายาง ECOPIA ที่มีความต้านทานต่ำสำหรับรถของคุณ และเริ่มประหยัดได้ทันที! *
*ทดสอบโดยสถาบัน TUV Rheinland (ประเทศมาเลเซีย) ด้วยวิธี Chassis Dynamo Test (UNECE-R38 UNECE-R101)
- รถยนต์ที่ใช้ โตโยต้า แคมรี่ รุ่น 2.0 G
- ถังน้ำมัน 70 ลิตร
- ขนาดยาง 215/60R16
- แรงดันลมยาง : 230kpa,
- ผลการทดสอบอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ในพื้นที่เมือง
ผลของการทดสอบวิธีประหยัดน้ำมันอาจเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับการดูแลยางรถยนต์, สภาพรถ, วิธีการขับขี่ และข้อจำกัดในเงื่อนไขอื่น ๆ
- Published in tires
สาเหตุของยางกินไหล่ยางด้านใน พร้อมวิธีสังเกตและแก้ไข
เป็นธรรมดาของแทบทุกสิ่งที่เมื่อเวลาผ่านไปก็ย่อมมีริ้วรอยมาทำให้กังวลใจได้เสมอ ไม่เว้นแม้แต่สิ่งของที่ออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้อย่างหนักหน่วงอย่างยางรถยนต์ ก็มีวันเกิดริ้วรอยตามกาลเวลาเช่นกัน ร่องรอยที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า “ยางแตกลายงา”

ยางแตกลายงาคืออะไร
ยางแตกลายงา คือ ร่องรอยที่มักเกิดขึ้นบริเวณหน้ายาง เป็นรอยร้าวขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วไป เกิดได้กับยางทุกประเภท ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ไม่เว้นแม้แต่จักรยาน ส่วนมากยางแตกลายงาจะพบทั้งในยางรถที่ใช้งานมาหลายปี หรือรถที่จอดไว้กลางแดดเป็นเวลานาน ลักษณะแบบนี้เรียกว่า Aging หรือยางที่มีอายุมาก
นอกจากนี้ ยางแตกลายงายังพบได้ตามบริเวณร่องยาง ยางแตกลายงาลักษณะนี้เกิดจากการขยับตัวของเนื้อยางขณะขับขี่ แม้จะขับขี่ตามปกติก็มีโอกาสเกิดขึ้น ส่วนที่ผู้ขับขี่บางท่านสังเกตว่า รอยแตกลายงาในร่องยางจะชัดเจนกว่าบริเวณอื่น ก็เป็นเพราะในร่องยางไม่ได้ถูกเสียดสีกับพื้นผิวถนน รอยแตกลายงาจึงไม่จางลงไป
สาเหตุของยางแตกลายงา
สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ยางแตกลายงาก็คือ ความร้อนและแสงแดด ซึ่งรถที่จอดในที่โล่งแจ้ง หรือตากแดดเป็นเวลานานมักเกิดยางแตกลายงาขึ้นได้ เพราะความร้อนจากแสงอาทิตย์มากระทบกับพื้นคอนกรีตจะทำให้อุณหภูมิที่พื้นสูงขึ้น และมีความร้อนขึ้นมาทำลายหน้ายางให้เสื่อมสภาพ นอกจากนี้ยางแตกลายงายังเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิภายนอก และภายในยางรถยนต์ ที่ทำให้ยางยืดหดตัว เมื่อประกอบกับสารเคมีในยางที่เริ่มเสื่อมสภาพตามกาลเวลา และเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นอากาศ ก็ทำให้เนื้อยางแตกร้าวได้
ยางแตกลายงา อันตรายไหม
ยางแตกลายงา มีทั้งแบบที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตราย ขึ้นอยู่กับความลึกของรอยแตกนั้น ถ้าเกิดเป็นรอยแตกบริเวณผิวด้านนอกยางและไม่มีความลึก ก็ถือว่าไม่เป็นอันตราย
แต่ถ้าหากยางมีรอยแตกลึกจนกระทั่งเห็นโครงสร้างของยางที่อยู่ภายใน แบบนี้ถือว่าเป็นอันตรายมาก ควรนำรถเข้ารับบริการโดยเร็ว
นอกจากนั้น ผู้ขับขี่ควรสังเกตให้แน่ใจว่ายางรถยังไม่เสื่อมสภาพ เพราะหากเป็นยางเก่าแม้จะไม่ค่อยได้ใช้งาน ก็มีโอกาสเสื่อมได้ และทำให้ยางไม่ยึดเกาะถนนน้อยลง
ยางแตกลายงาที่ได้เวลาเปลี่ยนใหม่
แนะนำให้พิจารณาจาก 3 ปัจจัยต่อไปนี้ร่วมกัน
1. ความลึกของรอยแตกลายงา
หากยางเป็นรอยแตกลึกจนกระทั่งเห็นโครงสร้างที่อยู่ภายใน ไม่ว่าจะเป็นบริเวณแก้มยางหรือหน้ายางก็ถือว่าเป็นอันตรายมาก ควรนำรถเข้ารับบริการโดยเร็ว
2. พิจารณาประกอบกับอายุของยาง
ควรพิจารณาเปลี่ยนยางที่อายุเกิน 3 ปี หรือผ่านการขับขี่มากกว่า 50,000 กิโลเมตร ยิ่งถ้ายางมีร่องรอยแตกลายงา เป็นไปได้ว่ายางนั้นเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว
3. พิจารณาประกอบกับความลึกของดอกยา
หากดอกยางมีความลึกน้อยกว่า 1.6 มิลลิเมตร แสดงว่าได้เวลาเปลี่ยนยางเส้นใหม่ ผู้ขับขี่สามารถวัดได้โดยใช้เกจวัดความลึกของร่องดอกยาง ซึ่งหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านอะไหล่ หรือทางออนไลน์ก็ได้ หรือง่ายกว่านั้น ให้ใช้เหรียญบาทเสียบไปในร่องยาง หากความลึกน้อยกว่าครึ่งของเหรียญบาท แสดงว่ายางสึกหรอจนถึงเวลาเปลี่ยน
การดูแลรักษายางรถยนต์
เมื่อเรารู้สาเหตุของยางแตกลายงาแล้ว การดูแลรักษารถยนต์ไม่ให้ยางแตกลายงาก็จะทำได้ง่ายขึ้น ข้อสำคัญที่สุดคือไม่ควรจอดรถทิ้งไว้กลางแดดเป็นเวลานาน สำหรับใครที่ประหยัดงบด้วยการซื้อยางเปอร์เซ็นต์ที่เคยผ่านการใช้งานมาแล้ว ควรตรวจสอบสภาพของยางอย่างละเอียดทั้งก่อนซื้อและระหว่างใช้งาน
- Published in tires